น้ำบาดาลต้มดื่มได้ไหม? รู้ให้ชัดก่อนเสี่ยงสุขภาพ
หลายครัวเรือนในพื้นที่ชนบทหรือเขตที่ไม่มีระบบประปาเลือกใช้น้ำบาดาลเป็นแหล่งน้ำหลักในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะอาบน้ำ ซักผ้า หรือแม้แต่ดื่มกิน คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นบ่อยคือ “น้ำบาดาลต้มดื่มได้ไหม?” เพราะแม้จะดูใสสะอาด แต่การดื่มน้ำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบหรือบำบัดอย่างเหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
น้ำบาดาลคืออะไร?
น้ำบาดาล (Groundwater) คือน้ำใต้ดินที่ไหลผ่านชั้นดิน ชั้นทราย และชั้นหิน จนไปสะสมอยู่ในแหล่งที่เรียกว่า “ชั้นหินอุ้มน้ำ” (Aquifer) เมื่อนำขึ้นมาใช้ผ่านการเจาะบ่อบาดาล น้ำบาดาลมักมีลักษณะใส ไม่มีกลิ่น จึงดูเหมือนสะอาด แต่ในความเป็นจริง น้ำบาดาลอาจมีสารปนเปื้อนที่เรามองไม่เห็น
น้ำบาดาลต้มแล้วดื่มได้ไหม?
คำตอบคือ: ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำบาดาลแต่ละพื้นที่
การต้มสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรียได้ก็จริง แต่ ไม่สามารถกำจัดโลหะหนักหรือสารเคมีบางชนิด ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำบาดาลได้ เช่น
- เหล็ก (Iron)
- แมงกานีส (Manganese)
- ฟลูออไรด์ (Fluoride)
- ไนเตรต (Nitrate)
- สารหนู (Arsenic)
สารเหล่านี้อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากชั้นหินใต้ดิน หรือจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีในการเกษตร
วิธีตรวจสอบว่าน้ำบาดาลต้มแล้วดื่มได้หรือไม่
- ตรวจคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการ
ส่งตัวอย่างน้ำไปตรวจที่หน่วยงานของรัฐ เช่น สาธารณสุขจังหวัด หรือหน่วยงานสิ่งแวดล้อม - ตรวจสอบกลิ่น สี และรสชาติ
ถ้าน้ำมีกลิ่นเหม็นสนิม รสฝาด หรือมีตะกอน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแม้จะผ่านการต้มแล้วก็ตาม - ติดตั้งระบบกรองก่อนต้ม
เช่น ระบบกรองเหล็ก กรองแมงกานีส หรือเครื่องกรองแบบ RO (Reverse Osmosis)
ข้อควรระวังในการดื่มน้ำบาดาล
- การต้มไม่สามารถกำจัดสารเคมีอันตรายได้ทั้งหมด
- ดื่มน้ำที่มีสารปนเปื้อนต่อเนื่องเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคนิ่ว ความผิดปกติของไต หรือแม้แต่มะเร็งในบางกรณี
- ห้ามดื่มน้ำบาดาลดิบโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประวัติคุณภาพน้ำไม่ดี
สรุป
น้ำบาดาลไม่ควรต้มดื่มทันทีโดยไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพน้ำ แม้การต้มจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ แต่ไม่สามารถกำจัดโลหะหนักหรือสารพิษได้ทั้งหมด ทางที่ดีควรกรองน้ำก่อน แล้วจึงต้ม เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของคนในครอบครัว










